จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประวัติลีโล่ and สติช


วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติลีโล่ and สติช






ชีวิตมีความท้าทายรออยู่สำหรับ ลีโล่ (ให้เสียงพากย์โดย ดาวีห์ เชส) เด็กหญิงเหงาๆ ชาวฮาวาย ที่ใช้ชีวิตอยู่กับพี่สาววัย 19 ชื่อ นานี่ (ให้เสียงพากย์โดย เทีย คาร์เรเร่) สาวน้อยทั้งสองดิ้นรนต่อสู้เลี้ยงดูตนเองแต่อะไรๆ ไม่ได้ดำเนินไปอย่างสวยงามนัก เมื่อ คอบร้า บับเบิลส์ (ให้เสียงพากย์โดย วิง เรมส์) นักสังคมสงเคราะห์จอมเครียดแวะมาเยี่ยม เขาก็พบสองสาวพี่น้องกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาจึงเตือนนานี่ว่า เธอมีเวลาเหลืออีกแค่ 3 วันเท่านั้น ในอันที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า เหมาะสมแก่การทำหน้าที่ดูแลลีโล่ได้ หาไม่แล้วสถานการณ์ในบ้านหลังนี้ จะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน และแล้วในเย็นวันนั้น ลีโล่ก็เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างห้องนอน เธอจึงอธิษฐานขอ "ใครซักคนก็ได้มาเป็นเพื่อน ใครซักคนที่จะไม่วิ่งหนีหนูไป" ก่อนเสริมด้วยว่า "ท่านส่งเทวดามาให้หนูก็ได้ เทวดาที่น่ารักที่สุดที่ท่านมีอยู่น่ะค่ะ"
แต่ในความจริง ดาวตกดวงนั้นคือยานอวกาศของ สติทช์ สิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่รู้จักกันในชื่อ "การทดลอง 626") ซึ่งเพิ่งหนีมาจากดาวทูโร่ นักวิทยาศาสตร์ชื่อ จัมบ้า (ให้เสียงพากย์โดย เดวิด อ็อกเดน สเทียร์ส) ผู้สร้างมันขึ้นมาพูดถึงสติทช์ว่า เป็นอะไรที่ "กันกระสุน กันไฟ และคิดได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซะอีก มันมองเห็นได้ในความมืด และยกวัตถุอะไรๆ ที่ใหญ่โตกว่าตัวมันถึง 3 พันเท่าได้ สัญชาตญาณอย่างเดียวของมันก็คือ.. ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสัมผัส" ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย ในสายตาของสมาชิกสภาหญิง (ให้เสียงพากย์โดย โซ คาลด์เวลล์) แห่งสหพันธ์กาแล็กติค เธอจึงจับจัมบ้าเข้าคุก และพิพากษาให้ส่งตัวสติทช์ ไปยังดาวเคราะห์น้อยไกลลิบ แต่ก่อนที่กัปตันแกนทู จะลงมือกำจัดสติทช์ตามคำสั่ง มันก็ขโมยยานของตำรวจ และบังคับให้พุ่งด้วยความเร็วสูง หนีมายังโลกได้ทันเวลา สมาชิกสภาไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงต้องเสนอว่า จะปล่อยตัวจัมบ้าเป็นอิสระ หากเขาตามจับสติทช์กลับมาได้ และเพื่อจะคอยควบคุมปฏิบัติการของจัมบ้าไว้ ไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงส่ง พลีคลี่ย์ (ให้เสียงพากย์โดย เควิน แม็คดอนัลด์) เอเลี่ยนผู้สนใจศึกษาโลกมนุษย์เป็นพิเศษ และมีสามขากับตาหนึ่งข้างให้ติดตามมาด้วย (โดยความรู้ทั้งมวลที่พลีคลี่ย์มีเกี่ยวกับโลกนั้น ได้มาจากการดูภาพใน View-master® ล้วนๆ )
ฝ่ายสติทช์นั้นบังคับยานมาถึงโลก และเคราะห์ร้ายดิ่งเข้าใส่รถบรรทุกน้ำตาลทรายเต็มเปา เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่า ตัวเองอยู่ในบ้านดูแลสัตว์หลังหนึ่ง และฉายแววเสน่ห์น่ารักเข้าตา จนลีโล่เก็บมันไปเลี้ยง (พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า สติทช์) ทักษะสุดล้ำหน้า ทำให้มันสามารถเก็บซ่อนแขนขาพิเศษ (จาก 6 เหลือ 4 ข้าง), เสาอากาศและเดือยบนหลังได้ เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนหมาหน้าตาพิลึกๆ ตัวหนึ่ง แม้พี่สาวของลีโล่ และลูกจ้างบ้านดูแลสัตว์จะผวาหน้าตาของมัน แต่ลีโล่กลับหลงรักสติทช์ และยืนกรานจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ได้ ขณะที่สติทช์เองก็รู้ว่า ลีโล่กับนานี่มีที่คุ้มภัย ให้มันรอดจากเงื้อมมือชองจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ได้ มันจึงยินดีที่จะถูกรับตัวไปเลี้ยง และทำตัว "ติดหนึบ" กับครอบครัวใหม่ของมันทันที
แต่ชีวิตใหม่ก็ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย สติทช์เริ่มสำแดงพฤติกรรมร้ายๆ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนแทบจะเรียกได้ว่า เป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน้อยที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ เมื่อลีโล่พามันไปร้านอาหารที่นานี่ทำงานอยู่ สติทช์ก็สร้างความพินาศจนนานี่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ถึงอย่างนั้นลีโล่ก็ยังปกป้องมัน และกระตุ้นให้มันทำตัวเป็นประชากรตัวอย่าง เหมือนฮีโร่ของเธอคือ เอลวิส เพรสลี่ย์ ด้วย เดวิด คาเวน่า (ให้เสียงพากย์โดย เจสัน สก็อตต์ ลี) แฟนเก่า และเพื่อนร่วมงานของนานี่ พยายามช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น ด้วยการชวนไปเล่นโต้คลื่นในตอนบ่าย ซึ่งสติทช์ก็สามารถเอาชนะ อาการเกลียดการเล่นเซิร์ฟของมันได้สำเร็จ แถมยังติดอกติดใจไม่ยอมเลิก จนเมื่อจัมบ้ากับพลีคลี่ย์มาพบเข้า ทั้งคู่ก็ดึงมันให้จมลงใต้น้ำ แต่เดวิดเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา
คอบร้า บับเบิลส์ เห็นภาพความวุ่นวายบนชายหาดเข้าเต็มตา จึงบอกกับนานี่ว่า เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกจากแยกตัวลีโล่ไปซะ สติทช์จึงรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่า มันกำลังทำลายครอบครัวน้อยๆ นี้ ขณะที่ความปรารถนาโอฮาน่า ('ohana - ศัพท์ฮาวายเอี้ยน หมายถึงแนวคิดเรื่องครอบครัว ที่จะไม่มีการทอดทิ้ง หรือหลงลืมใครไว้ตามลำพัง) ของลีโล่ก็จางลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อสมาชิกสภาหญิง ไล่จัมบ้ากับพลีคลี่ย์ออก เพราะปฏิบัติการล้มเหลว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงมือครั้งสุดท้าย ด้วยการไล่ตามสติทช์ ไปถึงบ้านของลีโล่กับนานี่ แล้วพังบ้านนั้นทิ้ง แต่ก็ยังจับตัวสติทช์ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง
ในช่วงเวลาที่อะไรๆ เลวร้ายถึงขีดสุด กัปตันแกนทู (ให้เสียงพากย์โดย เควิน ไมเคิล ริชาร์ดสัน) ก็เดินทางมา พร้อมยานลำยักษ์ เพื่อจับตัวสติทช์ มันหนีไปได้ แต่ลีโล่กลับถูกจับแทน สติทช์ซึ่งตระหนักในที่สุดว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวลีโล่กับนานี่ จึงเกลี้ยกล่อมจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ ให้ร่วมแรงกันช่วยลีโล่ออกมา การไล่ล่าอันดุเดือดทั่วเกาะฮาวายจึงเกิดขึ้น และสติทช์สามารถช่วยลีโล่ออกมาได้สำเร็จ ร้อนถึงสมาชิกสภาหญิง ต้องตัดสินใจออกมาเป็นผู้ควบคุมตัวสติทช์เอง และเกมนี้ดูเหมือนจะจบสิ้นลงในที่สุด แต่.. กฎของเกมก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ใครๆ คาดคิด!
ปัญหาและอารมณ์ขันมีอยู่เหลือล้นในสวรรค์! เมื่อเด็กหญิงขี้เหงาชาวฮาวายชื่อ ลีโล่ อธิษฐานกับดวงดาวขอใครซักคนมาเป็นเพื่อน แล้วเอเลี่ยนจอมซนมหากาฬแห่งจักรวาล ตอบรับคำขอของเธอใน Lilo & Stitch แอนิเมชั่นขบขันสดใส เรื่องใหม่ล่าสุดจาก วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส เรื่องนี้ ที่ซึ่งผสมผสานตัวละครอันน่าจดจำ, เรื่องราวที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ กับอารมณ์ขันพิลึกกึกกือ และงานภาพสวยงามเจิดจ้า (เพราะนี่เป็นหนังเรื่องแรกในรอบ 6 ทศวรรษของทางสตูดิโอที่ใช้สีน้ำ!!!)
หนังเล่าเรื่องราวของหนูน้อยลีโล่ ที่ได้เผชิญหน้าระยะกระชั้น กับเอเลี่ยนทดลองสุดซ่าชื่อ "สติทช์" ซึ่งหนีมาจากดาวแห่งเอเลี่ยน แล้วหล่นลงบนพื้นโลก รูปร่างเล็กจ้อยหน้าตาละม้าย "หมา" ของสติทช์ ทำให้ลีโล่เก็บมันไปเลี้ยงด้วยความรัก ความจริงใจ และความเชื่ออันมั่นคงต่อเรื่อง "โอฮาน่า" ('ohana - ศัพท์ฮาวายหมายถึงครอบครัว) จนสามารถเปิดหัวใจของสติทช์ได้สำเร็จ และมอบสิ่งหนึ่ง ที่มันไม่เคยคาดฝันว่าจะมี นั่นคือ ครอบครัว
ด้วยภาพบ้านเมืองเขตร้อนเขียวชุ่มฉ่ำ, อารมณ์ขันไม่ธรรมดา และเพลงคลาสสิคของ เอลวิส เพรสลี่ย์ ทำให้ Lilo & Stitch เป็นหนังที่จะพาคนดูเข้าสู่การเดินทางอันแสนรื่นรมย์ผ่านห้วงจักรวาลแอนิเมชั่น โดยงานชิ้นนี้นับเป็นหนังเรื่องที่ 2 ที่สร้างกันที่แผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่นในฟลอริด้า (Florida Feature Animation) ของดิสนีย์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นสถานที่สร้างผลงานเรื่องดังปี 1998 อย่าง Mulan มาแล้ว
องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมความโดดเด่นและความสนุกสนานให้แก่ Lilo & Stitch ก็คือซาวด์แทร็คสุดโจ๋ของ "ราชา" เอลวิส เพรสลี่ย์ ซึ่งเป็นผู้ขับร้องเพลงยอดฮิตทั้ง 6 เพลงที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ รวมถึงเวอร์ชั่นใหม่สุดเร้าใจของอีก 2 เพลงดังของเอลวิสคือ Burning Love ซึ่งขับขานโดยนักร้องคันทรี่ ระดับชิงรางวัลแกรมมี่อย่าง วินอนน่า (Wynonna) และ Can't Help Falling in Love ในช่วงเครดิตท้ายเรื่อง ขับร้องโดย A*Teens วงดนตรีพ็อพสุดดังของสวีเดน กับยังได้คอมโพสเซอร์ชื่อก้องอย่าง อลัน ซิลเวสทรี (เข้าชิงออสการ์จาก Forrest Gump) มาเพิ่มสีสันและความแฟนตาซี ให้แก่เรื่องราวเมามันยากจะคาดเดาของหนังเรื่องนี้ ด้วยดนตรีประกอบของเขา ร่วมกับนักดนตรีฮาวายมือฉมัง มาร์ค คีลี โฮโอมาลู (Mark Keali'i Ho'omalu) ในเพลงฮาวายเอี้ยนอีก 2 เพลง ซึ่งแสดงโดยสมาชิกวงคอรัสจาก Kamehameha School Children's Chorus
Lilo & Stitch เป็นหนังเรื่องที่สอง ที่สร้างกันในแผนกแอนิเมชั่นที่ฟลอริด้าของดิสนีย์ โดยทุกส่วนของงานสร้าง (ยกเว้นการวาดดิจิตอลที่ใช้ระบบ CAPS ซึ่งเคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว) เป็นหน้าที่รับผิดชอบของศิลปิน, แอนิเมเตอร์ และช่างเทคนิค 300 ชีวิตที่แผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่นในฟลอริด้านี้
ผู้รับหน้าที่ดูแล Lilo & Stitch ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงงานสร้างก็คือ ทีมผู้กำกับ/เขียนบท คริส แซนเดอร์ส กับ ดีน เดบลัวส์ โดยแซนเดอร์สเป็นมือเก๋าผู้เก่งกาจ ที่ทำงานกับแผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่น ของดิสนีย์มาตั้งแต่ปี 1987 และเคยทำสตอรี่บอร์ดฉากสำคัญๆ ใน Beauty and the Beast, เป็นโปรดัคชั่นดีไซเนอร์ให้ The Lion King และเป็นหัวหน้าทีมคิดเรื่องของ Mulan มาแล้ว ก่อนจะรับหน้าที่สร้างไอเดียของหนังเรื่องนี้ ส่วนเดอบลัวส์ ซึ่งเคยร่วมงานกับแซนเดอร์ส ในตำแหน่งหัวหน้าร่วมของฝ่ายเรื่องราวใน Mulan ก็สานต่อไอเดีย และนำความสามารถด้านการวางโครงร่างภาพ มาใช้กับโปรเจ็คต์นี้ ทั้งคู่เลือกทำบทให้เป็นสตอรี่บอร์ดด้วยตนเอง แทนที่จะใช้วิธีส่งต่อ ให้เป็นหน้าที่ของแผนกเรื่องราวเหมือนปกติ นั่นทำให้พวกเขาสามารถถ่ายทอดมุมมองของตน ต่อทีมงาน และกำหนดทิศทาง แก่ทีมแอนิเมเตอร์กับทีมสร้างสรรค์ ได้อย่างชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน
ตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างตกเป็นของ คลาร์ค สเปนเซอร์ ซึ่งทำงานกับดิสนีย์มานาน 12 ปีโดยเริ่มจากงานด้านวางแผนและการเงิน ล่าสุดเป็นรองประธานอาวุโส กับผู้จัดการทั่วไปของวอลท์ ดิสนีย์ฟีเชอร์แอนิเมชั่นฟลอริด้า ลิซ่า พูล รับหน้าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง และ เจฟฟ์ ดัตตัน ผู้ประสานงานฝ่ายศิลปะ มาใช้ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ และการจัดการของเขา ในหน้าที่ดูแลงานสร้าง ให้ได้ผลดีเลิศที่สุดเมื่อปรากฏบนจอ
ผู้รับหน้าที่ถ่ายทอดมุมมองของผู้กำกับ ให้กลายเป็นภาพบนจอก็คือ พอล เฟลิกซ์ โปรดัคชั่นดีไซเนอร์, ริค สลูเตอร์ ผู้กำกับศิลป์ และ บ็อบ สแตนตัน แบ็คกราวด์ซูเปอร์ไวเซอร์ โดยภาพวาดแรกเริ่มของแซนเดอร์ส ให้ไอเดียเกี่ยวกับการใช้สีน้ำ และสลูเตอร์ก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า สไตล์ของสื่อชนิดนี้ เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับการใช้จับอารมณ์ชุ่มฉ่ำ ตามธรรมชาติของเกาะฮาวาย พวกเขาร่วมกันทดลองสีน้ำ และค้นพบแนวทางใหม่ๆ ในการทำให้วิธีนี้เหมาะกับตัวหนัง สีน้ำเป็นสื่อที่เคยใช้กันเป็นปกติ ในหนังดิสนีย์ยุคแรกๆ อย่าง Snow White and the Seven Dwarfs, Pinocchio, Dumbo และ Bambi แต่ต่อมานักวาดได้เปลี่ยนมาใช้สีผสมน้ำมัน "gouache" (เป็นวิธีวาดสีทึบ) มากกว่า จนกระทั่งทีมแบ็คกราวด์ของ Lilo & Stitch กลับมารื้อฟื้นศิลปะที่ห่างหายไปแล้วนี้อีกครั้ง และนำมาใช้ในวิธีใหม่ที่น่าตื่นเต้น
นอกเหนือจากทีมที่กล่าวมาแล้ว ซูเปอร์ไวเซอร์คนหลักๆ ของหนังยังได้แก่ อาร์เดน ชาน (เลย์เอาต์), โจ กิลแลนด์ (วิชวลเอฟเฟ็คต์ส), เอริค กวากลิโอน (คอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น) และ ฟิลลิป บอยด์ กับ คริสทีน ลอว์เรนซ์-ฟินนีย์ ดูแลด้านคลีน-อัพ (Clean-Up) กิลแลนด์กับกวากลิโอน พบวิธีผสมผสานภาพจากเทคโนโลยี CG (computer generated) และเอฟเฟ็คต์เข้ากับภาพวาดสีน้ำ ส่วนทีมดิจิตอลโปรดัคชั่นและเอฟเฟ็คต์ ทำโมเดลและวาดภาพวัตถุต่างๆ เช่น ยานอวกาศ, ปืนรังสี, กระดานโต้คลื่น, ยานแม่ที่จะปรากฏให้เห็นในฉากเปิดเรื่อง นอกจากนั้น ทีมเอฟเฟ็คต์ยังสร้างภาพใต้น้ำที่น่าทึ่ง และพาคนดูไปพบกับภาพ ที่แม้แต่หนังคนแสดงก็ยังทำไม่ได้นั่นคือ ภาพด้านในของคลื่นยักษ์ กับยังมีเอฟเฟ็คต์น่าตื่นตาอีกมากมายในหนัง ไม่ว่าจะเป็นภาพลาวาไหลทะลัก, ระเบิด และภาพยานอวกาศของสติทช์ที่ถูกขโมยไป แล้วพุ่งด้วยความเร็วสูง เข้าสู่อุโมงค์กาลเวลาอย่างรุนแรง
เนื่องจากเรื่องราวเกิดขึ้นที่ฮาวาย ทีมงานจึงใช้เวลาไปศึกษาความงามตามธรรมชาติอันน่าทึ่ง ของเกาะสวรรค์แห่งนี้ แซนเดอร์ส, เดอบลัวส์, สลูเตอร์ ผู้กำกับศิลป์, สแตนตัน แบ็คกราวด์ซูเปอร์ไวเซอร์, แอนเดรียส เดจา แอนิเมเตอร์ และทีมงานอีกหลายคนหอบหิ้วกล้อง, พู่กัน และสมุดสเก็ตช์ แล้วมุ่งหน้าสู่ฮาวายเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อศึกษาทิวทัศน์ที่นั่น โดยใช้เวลาส่วนใหญ่บนเกาะคาวี (Kauai) ซึ่งทีมงานทั้งดำน้ำสน็อกเกิล, สกูบ้า, เล่นเซิร์ฟ และเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ อย่าง Hanalei, Hanapepe, หาดนาปาลี, พรินซ์วิลล์ และหาด Ke'e Beach รวมถึงอุทยานแห่งชาติอีกหลายแห่ง เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับใบไม้, พันธุ์พืช, หินลาวา, ทรายสีส้ม, ท้องทะเลสีเทอร์คอยซ์, ภูเขาสีแดงสด และภาพดวงอาทิตย์ตกอันสวยงาม นอกจากนั้น เดจายังไปดูโรงเรียนชนพื้นเมืองฮาวาย ซึ่งเน้นการศึกษาภาษา และวัฒนธรรมประจำเกาะด้วย
หัวใจสำคัญของเสน่ห์ และอารมณ์ของหนังก็คือ ทีมพากย์ระดับแนวหน้า นำโดย ดาวีห์ เชส (อายุ 11 ขวบ) รับบทเอกเป็นลีโล่ เธอเข้ามาทดสอบบท พร้อมกับเด็กหญิงคนอื่นๆ อีก 100 คน และสามารถอ่านบทได้ ตรงกับจินตนาการของทีมผู้กำกับมาก
น้ำเสียงอบอุ่นหวานหูในบท นานี่ ของ เทีย คาร์เรเร่ นักแสดงสาวเชื้อสายฮาวายตัวจริง ก็สร้างความประทับใจแก่ผู้กำกับ จนคว้าบทพี่สาวจอมวุ่นของลีโล่มาได้สำเร็จ เช่นเดียวกับ วิง เรมส์ ที่ให้เสียงมีอำนาจปนลึกลับแก่บท คอบร้า บับเบิลส์ หนุ่มนักสังคมสงเคราะห์จอมเคร่งเครียด, เดวิด อ็อกเดน สเทียร์ส นักแสดงมากความสามารถ คนโปรดของแอนิเมเตอร์ดิสนีย์ ให้เสียงตัวร้ายอัจฉริยะ จัมบ้า จูกิบ้า, เควิน แม็คดอนัลด์ จาก Kids in the Hall และ That 70s Show พากย์เสียง พลีคลี่ย์ เอเลี่ยนผู้เชี่ยวชาญด้านโลกมนุษย์, เจสัน สก็อตต์ ลี (ซึ่งเคยแสดงเป็นเมาคลี ในหนังของดิสนีย์เรื่อง The Jungle Book) นักแสดงชาวฮาวายอีกคนหนึ่ง ให้เสียง เดวิด คาเวน่า แฟนเก่าและเพื่อนร่วมเล่นโต้คลื่นของนานี่, โซ คาลด์เวลล์ นักแสดงหญิงเจ้าของ 4 รางวัลโทนี่ ให้เสียงสมาชิกสภาหญิง
สำหรับเรื่องเสียงพากย์สติทช์นั้น ผู้กำกับ คริส แซนเดอร์ส บอกว่า "ตอนแรกเราไม่ได้คิดจะให้สติทช์พูดได้ ตอนที่ผมเอาโครงเรื่องไปเสนอนั้น ผมทำเสียงเล็กๆ น่ากลัวๆ ผสมไปด้วย ซึ่งมันก็ดูเข้ากันดีกับภาพวาด เราก็เลยยึดเสียงแบบนี้เอาไว้ และเมื่ออยู่ในช่วงพัฒนาเรื่อง เราก็ตัดสินใจว่าจะให้มันพูดซัก 2-3 หน รวมถึงในท่อนจบของหนังด้วย เราจึงพยายามทำงานหนักในด้านนี้ เพื่อให้ได้การแสดงที่ดูจริงใจมากที่สุด"

นารูโตะ

อุซึมากิ นารูโตะ (ญี่ปุ่น: うずまき ナルト; อังกฤษ: Uzumaki Naruto) เป็นตัวละครการ์ตูนจากเรื่อง นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ชื่อของนารูโตะ

นารูโตะ มีความหมายได้สองอย่างคือ น้ำวน หรือ คะมะโบะโกะ (ลูกชิ้นปลาชนิดหนึ่งที่มีสีขาวและชมพูโดยมีลวดลายเป็นวงตรงกลาง) นิยมใส่ในราเม็ง ซึ่งเป็นอาหารโปรดของนารูโตะ ที่มาของชื่อนารูโตะได้มาจากการที่พ่อของนารูโตะ (มินาโตะหรือท่านรุ่นที่ 4) ได้อ่านนิยายของจิไรยะ (เซียนลามก) ซึ่งนิยายในเรื่องมีตัวละครเอกที่มีความกล้าหารอดทนที่ชื่อนารูโตะ ดังนั้นพ่อของนารูโตะจึงได้ตั้งชื่อลูกตนเองตามตัวละครนั่นเอง
เขามีฉายาคือ นินจาจอมเพี้ยน-นินจาอันดับหนึ่งด้านเหนือความคาดหมาย, แหกกฏ, เจ้าทึ่ม สมองนิ่ม (อุจิวะ ซาซึเกะเรียก), เจ้าหน้าหนวด (โฮคาเงะรุ่นที่ 5 หรือ นาเมคุจิ ซึนาเดะเรียก)

[แก้] ประวัติของนารูโตะ

นารูโตะเกิดมา คนในหมู่บ้านรังเกียจและชิงชังตั้งแต่เด็ก แม่ของเขาคือพลังสถิตย์ร่างเก้าหางคนที่2 อุซึมากิ คุชินะ คุโนอิจิ แห่งแคว้นอุซึชิโอะ(แคว้นสายน้ำวน-แคว้นนี้เก่งวิชาผนึกมาก) ถูกส่งมาอยู่ที่โคโนฮะตั้งแต่เด็ก ตระกูล อุซึมากิ มีวามสัมพันธ์ เป็นญาติห่างๆของตระกูล เซ็นจู ฮาชิราม่า เซ็นจู(โฮคาเงะรุ่นที่1)โดย อุซึมากิ มิโตะ(พลังสถิตย์ร่างเก้าหางคนแรก แต่งงานกับ โฮคาเงะรุ่นที่1) พ่อของเขาคือ โฮคาเงะรุ่นที่ 4 หรือ นามิคาเสะ มินาโตะ ซึ่งเป็นผู้เสียสละชีวิตตัวเองต่อสู้กับปีศาจจิ้งจอกเก้าหางและผนึกจิ้งจอกเก้าหางลงไปในตัวนารูโตะ จึงสามารถฝึกวิชาของรุ่นที่ 4 ได้ง่ายกว่าใครๆอย่างกระสุนวงจักระและรวมทั้งวิชาพื้นฐานด้วย เนื่องจากนารูโตะได้รับอิทธิพลมาจาก จิ้งจอกเก้าหางโดยตรงทำให้นารูโตะมีจักระที่เยอะมากกว่าคนอื่นในระดับเดียวกัน นารูโตะเติบโตมากับความโดดเดี่ยวที่ไม่มีพ่อและแม่ และมากกว่านั้นนารูโตะโดนนินจาและผู้ใหญ่ในหมู่บ้านคนอื่นเกลียดชัง เนื่องจากในตัวนารูโตะนั้นมีจิ้งจอกเก้าหาง จึงทำให้คน, นินจาในหมู่บ้านเกลียดนารูโตะเพราะคิดว่านารูโตะเป็นปีศาจ อูมิโนะ อิรุกะ อาจารย์คนแรกของนารูโตะเป็นคนที่ให้ความสำคัญและดูแลเอาใจใส่นารูโตะเหมือนลูก
อิรุกะเข้าใจความรู้สึกของนารูโตะเนื่องจากมีชีวิตในวัยเด็กเหมือนกัน ที่สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก และจิ้งจอกเก้าหางที่ผนึกอยู่ในร่างของนารูโตะนั้นฆ่าพ่อแม่ของอิรุกะอีกด้วย 12 ปีต่อมานารูโตะตัวแสบของหมู่บ้านโคโนฮะเข้าสอบเพื่อเลื่อนเป็นเกะนินแต่ไม่สำเร็จ และได้ถูกมิซึกิหลอกให้ไปเอาคัมภีร์ที่รวบรวมวิชานินจามาให้ เพื่อตนเองจะได้เอาไปและให้นารูโตะเป็นแพะรับบาป แต่อิรุกะได้มาช่วยนารูโตะไว้ มิซึกิได้บอกว่าในตัวนารูโตะมีตัวจิ้งจอกเก้าหางอยู่ในตัว และได้ฆ่าพ่อแม่ของอิรุกะ นารูโตะได้เรียนวิชานินจากับซาซึเกะ,ซากุระ และครูคาคาชิซึ่งร่วมมือกันในภารกิจต่างๆในหน่วย 7 โดยเฉพาะภารกิจที่ช่วยคุ้มครองการสร้างสะพาน ในภาคสอง นารูโตะและซากุระไปช่วยกาอาระ{คาเซคาเงะ}ที่โดนกลุ่มแสงอุษาลักพาตัวไป ตอนจบของนารูโตะคือ ในที่สุด 10 หางก็ออกมาโดย มาดาระ แต่นารูโตะก็ยังพอเหลือลมหายใจ จนซาสึเกะมาพูดกับมาดาระว่า ารูโตะนะฉันจัดการเองแต่มาดาระก็ไม่ฟังซาสึเกะจนซาสึเกะกับนารูโตะก็ยับยั้ง มาดาระได้ และในที่สุด นารูโตะกับซาสึเกะตายในสนามรบ นารูโตะมีฉายาว่า ประกายแสงสีส้มแห่งโคโนฮะ และโคโนฮามารุ ก็ได้เป็นโฮคาเงะรุ่นที่ 6 แทนนารูโตะ โดยมี โฮคาเงะ 2 คน ในโคโนฮะ จบ
นารูโตะเป็นนินจาที่ค่อนข้างจะโชคดีในเรื่องโชคลาภ เพราะในตอนที่จิไรยะเอาเงินของนารูโตะไปใช้เลยทำให้เงินหมด แต่เพราะไปเล่นเสี่ยงโชคขูดสลากครั้งเดียว นารูโตะสามารถเอาเงินกลับคืนมาได้หมด

[แก้] คาถา

  • คาถาแยกเงาพันร่าง (คาเกะ บุนชิน โนะ จุทสุ)
  • กระสุนวงจักร (ราเซ็นกัน)
  • กระสุนวงจักรพายุหมุน (ในเรื่องนารูโตะเดอะมูวี่ ศึกสายสัมพันธ์)
  • กระสุนวงจักรบอลยักษ์ (โอดะมะ ราเซ็นกัน)
  • ดาวกระจายวงจักร (ฟูตัน ระเซ็น ชูริเคน) (ท่าไม้ตายสุดยอดที่นารูโตะก็จะได้รับผลกระทบด้วย โจมตีโดยทำลายเซลล์ของเหยื่อ ใช้การแปลงคุณสมบัติและแปลงลักษณะจักระ สามารถปาได้และขยายได้)
  • กระสุนวงจักรมหายักษ์
  • กระสุนวงจักรคู่
  • กระสุนวงจักรขั้นสุดยอด (ท่าที่นารูโตะใช้กับโฮคาเงะรุ่นที่ 4 ในเรื่องนารูโตะเดอะมูวี่ The Lost Tower)
  • คาถาอัญเชิญ (กามะบุนตะ กามะเก็น กามะฮิโระ ฟุคาซากุ ชิมะ กามะคิจิ กามะทัตสึ พันธนาการปากกบ กามะ)
  • คาถาเซียน (วิชาที่นารูโตะใช้ได้สมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดาทุกคนที่ฝึกมา จะมีแววตาคล้ายกบ ขอบตาสีแดง พลังงานมากขึ้น โดยใช้จักระเซียน ซึ่งได้จากธรรมชาติ)
  • คาถาเซียนวงจักร (วิชาที่นารูโตะใช้ดาวกระจายวงจักรได้เกิน 2 ครั้ง และใหญ่กว่าปกติ)
  • คาถาเซียนดาวกระจายวงจักร
  • คาถาเซียนแยกร่างวงจักร (นารูโตะสามารถแยกร่างได้เป็นพันตัวพร้อมกับ คาถาดาวกระจายวงจักรทั้งพันตัว)
  • ระเบิดสัตว์หาง (เป็นการแปลงร่างเป็นสัตว์หาง ร่างของนารุโตะยังไม่สมบูรณ์)
  • กระสุนวงจักรสุญญากาศ (นารุโตะใช้จัตการเซ็ทสึ)

[แก้] คาถาของสัตว์อัญเชิญ


  • กระสุนเพลิงน้ำมันกบ
  • มีดสั้นกามะ (กามะบุนตะ)
  • คาถาน้ำ กระสุนน้ำ
  • หอกหนามกามะ (กามะเก็น)
  • ดาบคู่กามะ (กามะฮิโระ)
  • คาถากบร้อง
  • คาถาอัญเชิญ ปู๋กบ
  • คาถาอัญเชิญ ย้อนทาง
  • คาถาลมฝุ่นทราย
  • คาถาลิ้นกามะ
  • คาถาโกะซามอน (ใช้คาถาไฟ คาถาลม และคาถาน้ำ พร้อมกัน)
  • คาถาลวงตา เพลงคู่กามะ
  • โล่กามะ (กามะ)

[แก้] หางทั้งเก้า ของจิ้งจอกเก้าหาง

  1. หาง ตอนประทะกับซาสึเกะในร่างอักขระสำหรับนารูโตะยังพอควบคุมได้
  2. หาง ตอนแค้นเดอิดาระที่ฆ่ากาอาระ ร่างแยกจะร้อนจนหายไป ควบคุมตัวเองไม่ได้, คาดว่ายังกลายร่างไม่เสร็จ
  3. หาง ควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ มีพลังที่น่ากลัว
  4. หาง เสียสติ ร่างกายคลอบคลุมไปด้วยเลือด มีพลังที่น่ากลัว เพราะแค้นโอโรจิมารุที่เอาตัวซาสึเกะไป
  5. หาง ?
  6. หาง เกิดจากแค้นที่เพนทำร้ายฮินาตะรูปร่างคล้ายตอน 4 หางแต่มีกระดูกคลอบคลุมร่างกายด้วย และมี 6 หาง และสามารถทำลายผนึกสะกด (สร้อยคอของซึนาเดะ)ได้
  7. หาง ?
  8. หาง ร่างที่ใกล้เคียงกับจิ้งจอกเก้าหางที่สุด เริ่มมีกล้ามเนื้อ และเมื่อถึงหางนี้ รุ่นที่ 4 จะโผล่มาในตัวนารูโตะ
  9. หาง ตอนนั้นนารูโตะได้เข้าสู่หางที่ 9 แต่รุ่นที่ 4 ก็มาผนึกให้ใหม่ในจิตใต้สำนึกของนารูโตะ (คาดว่าจะกลายเป็นจิ้งจอกเก้าหาง)
  10. หาง ตอนที่ก่อนจะโดนมาดาระจั๊กจี้ได้กลายเป็นเก้าหาง แต่มาดาระก็บังคับให้เลี้ยงราเม็ง

ยูกิ จูได

ยูกิ จูได  (ญี่ปุ่น: 遊城 十) หรือ Jaden Yuki สำหรับภาพยนตร์การ์ตูนที่ออกอากาศในสหรัฐอเมริกา คือตัวละครหลักของเรื่องเกมกลคนอัจฉริยะ GX พากย์เสียงโดย KENN

ยูกิ จูได

บุคลิกภาพ
ยูกิ จูไดคือพระเอกและตัวละครหลักของเรื่องเกมกลคนอัจฉริยะ GX การ์ดที่ใช้หลักๆ คือ การ์ดตระกูล E-Hero (อีเลเม็นทัลฮีโร่) และนีโอสเปเชียน ประจำอยู่ในหอโอชีริสเรด ชื่อตัวละครตัวนี้ตั้งขึ้นโดยผู้เขียน ทะกะฮะชิ คะซึกิ "ยูกิ" (遊城) มีความหมายว่า "" ส่วนคำที่เป็นชื่อ"จูได" (十代) ซึ่งแปลว่าวัย 10 ปี หรือรุ่นที่ 10 แฝงความหมายว่าอยากให้เด็กวัย 10 ปีขึ้นไปดู
ในตอนที่ 1 ระหว่างที่จูไดกำลังเดินทางไปเข้ารับการสอบเข้าดูเอล อคาเดมี จูไดได้พบกับจ้าวแห่งดูเอลลิสต์ (duelist) มุโต ยูกิโดยบังเอิญ ซึ่งยูกิไดมอบการ์ดฮาเนะคุริโบให้แก่จูไดโดยบอกว่าการ์ดใบนี้อยากไปอยู่ด้วย ในตอนเด็กเขามีความใฝ่ฝันที่จะเป็นฮีโร่ผู้ช่วยอวกาศและจักรวาล
จูไดสามารถเห็นวิญญาณที่อยู่ในการ์ดได้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ซึ่งเหล่านีโอสเปเชี่ยนของเขาได้เรียกเขาว่าเป็นผู้ที่มีพลังมืดที่ถูกต้อง โดยอุปนิสัยแล้วจูไดเป็นบุคคลที่เบิกบานรักสนุก เป็นคนที่ชอบการเล่นการ์ดและฮีโร่เป็นชีวิตจิตใจ มีสปิริตในการเล่นการ์ดสูงมาก ทุกครั้งไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็จะยอมรับและคิดว่าเป็นการเล่นที่สนุก พร้อมกับจะพูดว่า "Gotcha เป็นดูเอลที่สนุกมากเลยนะ" ทุกครั้ง เขาเป็นดูเอลริสต์ที่มีชีวิตชีวากระทั่งถึงช่วงปลายของภาคที่ 3 คาบไปถึงช่วงปลายของภาคที่ 4 เมื่อบุคลิกภาพของเขาได้เปลี่ยนไป พร้อมกับตระหนักว่าการเล่นการ์ดนั้นไม่ได้มีแต่ความสนุกสนานอย่างเดียว ยังมีความโศกเศร้าและความทุกข์ผสานอยู่ด้วย
ในตอนเด็กการ์ดที่เป็นตัวตัดสินของจูจิคือ "ยูเบล" ทุกครั้งที่เล่นจะทำให้คู่ต่อสู้สลบทุกครั้ง และด้วยเหตุนี้จูไดจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพังเพราะไม่มีใครกล้ามาเล่นด้วย แต่หลังจากนั้นพ่อแม่ของจูไดก็ได้ทำการลบความทรงจำเกี่ยวกับยูเบลออกจากจูได ความสัมพันธ์ระหว่างจูไดและยูเบลมีมาตั้งแต่ชาติก่อนหน้านี้แล้ว โดยจูไดนั้นเป็นเจ้าชาย และยูเบลเป็นผู้ติดตาม ทั้ง 2 มีฐานะเป็นเพื่อนกัน
ในฉากหนึ่งของเรื่อง จูไดได้ขี่จักรยานยนต์ แต่มิทราบได้ว่ามีใบขับขี่หรือไม่
จูไดถูกมะรุฟุจิ โช และทีราโน่ เคนซันเรียกว่า "อะนิกิ" ซึ่งมีความหมายนัยๆ ว่า "พี่ใหญ่"

[แก้] บุคลิกภาพที่ 2 "ฮะโอ"

ฮะโอคือบุคลิกภาพที่ความมืดในใจของจูไดได้สร้างขึ้น เป็นลักษณะของอำนาจมืดที่หลับอยู่ใต้ใจของเขา อุปนิสัยเป็นบุคคลที่เย็นชาไร้ความรู้สึก ลักษณะเด่นคือทุกครั้งที่สีของนัยตาเปลี่ยนไปเป็นสีเหลือง จากความทรงจำชาติก่อน พลังดังกล่าวนี้เป็นพลังที่เอาไว้ป้องกันอวกาศจากแสงแห่งการทำลายล้าง อำนาจมหาศาลนี้นอกจากจะมีไว้เพื่อป้องกันแล้วยังมีอำนาจพอที่จะสามารถทำลายล้างได้ด้วยเช่นกัน

[แก้] เนื้อเรื่อง

[แก้] ภาคแรก (ปีที่หนึ่ง)

ยูกิ จูไดวัย 17 ปี ขณะที่เดินทางมารับการสอบเข้าดูเอล อคาเดเมีย เขาประสบปัญหารถไฟเสียกลางทาง จูไดเดินทางมาถึงเป็นคนสุดท้าย และเพราะว่าผู้เข้ารับการสอบคนอื่นๆ สอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จูได้จึงต้องสู้กับอาจารย์โคโรนอสแทน เขาสามารถชนะอาจารย์โคโรนอส แต่ด้วยเหตุที่ว่าคะแนนสอบทางวิชาการนั้นได้อันดับที่ 110 จูไดจึงต้องประจำอยู่ที่หอโอซิริสเรด ร่วมห้องกับมะรุฟุจิ โช และมะเอะดะ ฮะยะโตะ อย่างไรก็ตามจูไดก็ไม่ได้คิดมากถึงเรื่องดังกล่าว ยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามใจตนในรั้วโรงเรียนเรื่อยมา เมื่อจูไดชนะมันโจเมะและมีโอกาสที่จะยกระดับตนไปอยู่ในหอราเยลโล่

[แก้] ภาคสอง (ปีที่2)

จูไดแพ้ในการต่อสู้กับเอ๊ด ฟีนิกซ์ ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นภาพที่อยู่บนการ์ดได้ แต่ด้วยเหตุที่ได้รับการ์ด E-HERO เนออส และเหล่านีโอสเปเชียน เขาจึงสามารถกลับมาเป็นดั่งเดิมได้อีกครั้ง แต่ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขาต้องสู้กับเหล่าสมาคมแห่งแสง (光の結社, Society of Light) อย่างรุนแรงยิ่งขึ้น[1] จูไดยังต้องช่วยมันโจเมะและเทนโจอิน อะซึกะ ฯลฯ จากการล้างสมองของไซโอ ทาคุมะ พร้อมกับทำลาย "แสงแห่งความวิบัติ" (破滅の光, Light of Destruction) ที่อยู่ในตัวไซโอจนหมดสิ้น
จูได ในร่างของ ฮะโอ หรือ Supreme King

[แก้] ภาคสาม (ปีที่สามช่วงต้น)

จูไดเริ่มทวีความสำคัญมากขึ้นอย่างมากเมื่อถึงภาคนี้ เขาได้รู้จักกับโยฮัน แอนเดอร์เซนผู้ที่สามารถเห็นวิญญาณที่อยู่ในการ์ดเช่นเดียวกัน ในภาคนี้เขาต้องเผชิญกับการไล่ตามของวิญญาณยูเบลผู้หลงใหลในตัวเขาเป็นอย่างมาก และเป็นผู้ที่นำดูเอล อคาเดมีมาอีกมิติหนึ่ง หลังจากโยฮันได้อุทิศตนเองในการต่อสู้กับวิญญาณยูเบลเพื่อส่งดูเอล อคาเดมีและเพื่อนๆกลับไปโลกเดิม จูไดจึงรู้สึกว่าตนเองนั้นด้อยและไร้ค่า
และเพื่อที่จะช่วยโยฮันให้กลับมาสู่โลกปัจจุบัน จูไดและผองเพื่อนจึงเดินทางกลับไปอีกรอบ จูไดต้องทุกข์ทรมาณทั้งทางกายและจิตใจในการต่อสู้แบบเดธดูเอล (Death Duel) ที่มีกฏง่ายๆอยู่ว่าใครแพ้แล้วต้องหายไป พร้อมกัยแรงกดดันในการรับผิดชอบชีวิตของเพื่อนแต่ละคน จนในที่สุดเมื่อถึงตอนต่อสู้กับอสูรบรอน ด้วยเหตุที่รู้สึกผิดกับตนเองที่ว่าเป็นสาเหตุให้สูญเสียเพื่อนๆไป เขาจึงต้องแลกตัวเองเพื่อให้ฮะโอ (覇王, Supreme King) หรือบุคลิกภาพอีกแบบหนึ่งของเขาฟื้นขึ้นมา
เมื่อจูไดได้รับการปลดปล่อยออกมาจากฮะโอโดยจิม ครอกโคไดล์ คุก และออสติน โอไบรเอน เขาก็ได้กลับกลายเป็นคนที่ขี้ขลาด เพราะเมื่อทุกครั้งที่เห็นการ์ดรวมร่างเขาก็จะนึกถึงสภาพตนเมื่อตอนที่เป็นฮะโอที่ทำร้ายชีวิตของแต่ละคนอย่างโหดเหี้ยม แต่จูไดก็ได้ฟื้นฮะโอในตัวเขาขึ้นมาอีกครั้งในการต่อสู้ระหว่างเขากับยูเบลในครั้งที่ 2 จูไดตระหนักว่ายูเบลนั้นคือผู้อุทิศตัวเองเพื่อการปกป้องเขาในชาติก่อนเพื่อให้แสงแห่งการทำลายล้างในตัวมีความสมดุล จูไดจึงให้อภัยยูเบลและทำการรวมวิญญาณยูเบลและเขาเองเข้าด้วยกัน พร้อมกับส่งเพื่อนๆ และผู้ติดตามมาด้วยกลับสู่โลกปัจจุบันก่อน ก่อนที่เขาจะกลับมาพร้อมกลับดาวตกในภายหลัง ในขณะที่มะรุฟุจิ โชกำลังอธิษฐานให้เขากลับมา[2]
จูได ขณะที่ใช้พลังของยูเบล

[แก้] ภาคสี่ (ปีที่สามช่วงปลาย)

หลังจากได้รวมวิญญาณเข้ากับยูเบลแล้ว จูไดก็สามารถใช้พลังวิเศษเกี่ยวกับวิญญาณในการ์ดได้อย่างตามใจตน ในช่วงที่มีการมีการใช้พลังนี้ สีนัยตาของเขาก็จะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนกับตาของยูเบล ลักษณะของชุดนักเรียน ทรงผม ใบหน้า ต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
หลังจากเหตุการยูเบล จูไดก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องเป็นเวลา 1 เดือน ด้วยเหตุที่รู้สึกว่ามีปัญหาใหม่เกิดขึ้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ ซึ่งสาเหตุนั้นอาจจะมาจากตน จูไดจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียน แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์ของฟุจิวะระ ยูสึเกะ และโอเนสต์ไป จูไดจึงได้ร่วมงานกับผองเพื่อนอีกครั้ง
เพราะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งโหดร้ายเป็นเวลานาน และตระหนักว่าชีวิตนั้นไม่ได้มีแต่เรื่องสนุกเพียงอย่างเดียว จูไดจึงได้ลืมความสุขและสนุกในการเล่นการ์ดในแต่ละครั้งไป จูไดได้รับการเตือนสติจากเทนโจอิน อะซึกะ, เคนซัน และซะโอะโตะเมะ เร ถึงเรื่องนี้ในขณะที่เขากำลังต่อสู้กันอยู่ ซึ่งทำให้เขากลับมายิ้มอีกครั้งหนึ่ง
จูไดได้ร่วมกับการสอบจบการศึกษาของดูเอล อคาเดมี่ แต่ระหว่างนั้นได้ถูกโอไบรเอนเรียกตัวไปที่หมู่บ้านโดะมิโนะ ซึ่งเมื่อไปถึง โอไบรเอนได้ตกอยู่ในน้ำมือของดาร์กเนสแล้ว ประจวบกับต้องสู้กับไซโอโดยไม่มีทางเลี่ยง พร้อมกับได้รับอิทธิพลอำนาจมืด จูไดจึงต้องเสียเวลาต่อสู้กับโยฮันอีก แต่ด้วยความช่วยเหลือของโยฮัน จูไดจึงได้กลับสู่ปกติ แล้วเร่งกลับสู่ดูเอล อคาเดมี และเมื่อกลับไปถึง ตัวดาร์กเนสที่อยู่ในร่างของฟุจิวะระได้ปรากฏร่างที่แท้จริงออกมา จนในที่สุดดาร์กเนสก็ต้องประสบกับความปราชัย ความสงบสุขที่แท้จริงก็ได้กลับคืนมาในที่สุด
เมื่อสิ้นสุดงานปิดภาคเรียน ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกอยู่กับงานเลี้ยงอยู่นั้น จูไดได้ตัดสินใจที่จะออกจากโรงเรียนอย่างเงียบๆ แต่ฮะเนะคุริโบได้เรียกจูไดไปที่ห้องจัดแสดงการ์ดของ มุโต้ ยูกิ ณ ที่แห่งนั้นเขาได้พบกับ มุโต้ ยูกิ ซึ่งกล่าวว่าจะพาไปสถานที่ที่จะนำสิ่งที่จูไดได้สูญเสียไปในขณะที่จะเป็นผู้ใหญ่กลับคืนมา ด้วยการนำพาของยูกิ แสงสว่างวาบหนึ่งใด้นำจูไดไปสู่หมู่บ้านโดะมิโนะในอดีต เขาได้พบกับยูกิในอดีต ซึ่งเขาก็ได้ฝันว่าจะได้เล่นกับจูไดด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองดูเอลจบการศึกษาที่แท้จริงจึงเปิดฉากขึ้น ทั้งสองต่างเล่นกันอย่างดุเดือดและสนุกสนาน ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้จูไดได้กอบกู้สิ่งที่ตัวเองได้สูญเสียไป ซึ่งก็คือ "การหลงใหลในความสนุกสนานของการดูเอล" ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สุดยอดที่สุดของจูไดเลยทีเดียว
หลังจากสิ้นสุดการดูเอลกับยูกิ จูไดพร้อมกับแมวชื่อฟาโรห์ และอาจารย์ไดโตะกุจิ ได้ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อใช้พลังที่ตนเองมีช่วยเหลือผู้ที่ต้องการมัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กล่าวลาผองเพื่อน แต่พวกเขาก็ได้เขียนข้อความต่างๆ ให้แก่จูไดลงใน ผมเองยูกิ จูไดดูการ์ตูนจบแล้วอย่าลืมเล่นดูเอลกันนะครับ

[แก้] การ์ด หรือ เด็ดที่ถูกใช้

  • E・HERO หรือ อีเลเมนทัลฮีโร่
ตระกูลการ์ดที่จูไดใช้เป็นหลักตั้งแต่ตอนแรก มอนสเตอร์แต่ละตัวสามารถเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ ด้วยการใช้การ์ดฟิวชั่น ลักษณะคือเป็นฮีโร่สีสันสดใส
  • นีโอสเปเชียน (Neo-Spacians)
ตระกูลการ์ดอีกตระกูลที่จูไดนิยมใช้ ปรากฏตัวครั้งแรกในช่วงที่ 2 ลักษณะคือเป็นมนุษย์ต่างดาว รวมถึงการ์ด "นีออส" ที่จูไดออกแบบเองและส่งออกไปรับ "อนุภาพความมืดอันถูกต้อง" ที่อวกาศในตอนเด็ก
  • ฮะเนะคุริโบ
คุริโบแบบมีปีก ได้รับจากมุโต ยูกิในตอนแรกของเรื่อง
  • ยูเบล
การ์ดไม้ตายของจูไดตั้งแต่ยังเด็กแต่จุไดโดนลบความทรงจำเรื่องยูเบลไปและจูไดได้ยูเบลกลับมาในช่วงที่ 3 ของเรื่องรวมทั้งจูไดยังรวมวิญญาณกับยูเบลทำให้จูไดใช้พลังของยูเบลได้

มนุษย์กลายพันธุ์ X-Men

Juggernaut
Juggernaut หรือ Cain Marko เป็นน้องต่างมารดาของศาสตราจารย์ Charles Xavier พ่อของ Cain ชื่อ Kurt Marko แต่งงานกับ Sharon แม่ของศาสตราจารย์ Xavier ต่อมา Kurt ทั้งครอบครัว ทำให้ Sharon โศกเศร้าและต้องอาศัยเหล้าเป็นที่พึ่งจนโรคพิษสุราเรื้อรังถามหา และตัว Cain กลายเป็นคนต่อต้านสังคม ความเป็นคนไร้ระเบียบวินัยทำให้ Cain ถูกส่งเข้าเรียนโรงเรียนทหาร ก่อนเข้าร่วมรบในสงครามเกาหลีกับพี่ชาย ทั้งคู่บังเอิญไปพบวิหารโบราณ Cyttorak ที่หายสาบสูญหลายศตวรรษ ภายในวิหาร Cain พบทับทิมสีเลือดก้อนมหึมา The Crimson Ruby of Cyttorak เพียงแค่สัมผัสทับทิมสีเลือด พลังมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายในถูกถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ Cain กลายสภาพเป็น Juggernaut เมื่อถ้ำซึ่งเป็นที่ซ่อนของวิหาร Cyttorak ถล่ม Charles หนีเอาตัวรอดออกมาได้ Cain โกรธแค้นพี่ชายที่ไม่ยอมช่วย หลังจากที่เขาพยายามขุดคุ้ยหินที่ถล่มจนสามารถออกจากถ้ำได้ Cain ประกาศตัวเป็นศัตรูของ Charles และตั้งใจจะสร้างความเจ็บปวดให้กับพี่ชายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได

แต่ใน X-Men: The Last Stand เรื่องราวของ Juggernaut ถูกดัดแปลง พลังของเขามาจากการกลายพันธุ์ Juggernaut เป็นคนสนิทที่ Magneto ไว้วางใจ และไม่มีความเกี่ยวพันทางครอบครัวกับศาสตราจารย์ Xavier
Beast
Beast หรือ Henry Philip McCoy เกิดที่เมือง Dunfee มลรัฐ Illinois ประเทศสหรัฐอเมริกา พ่อแม่ชื่อ Norton กับ Edna พ่อของเขาที่ทำงานในโรงงานไฟฟ้าปรมาณูประสบอุบัติเหตุถูกกัมมันตภาพรังสีเข้มข้น ส่งผลให้ลูกชายของเขากลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ เมื่อลืมตาดูโลก Hank (Henry) เป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียวมาก อีกทั้งมือและเท้าใหญ่กว่ามนุษย์ปกติ ใหญ่พอๆกับกอริลลา Hank กลายพันธุ์อย่างสมบูรณ์เมื่อโตเป็นหนุ่ม เขาเคยนำพลังพิเศษของเขามาใช้ในการแข่งกีฬาตอนเรียนหนังสือ แต่ความผิดมนุษย์ของเขาทำให้เพื่อนนักเรียนและผู้คนรอบข้างไม่ไว้วางใจ ศาสตราจารย์ Xavier จึงชักชวนให้เขามาเรียนที่ School for Gifted Youngsters ของศาสตราจารย์ Xavier ความเป็นเด็กฉลาดทำให้ Hank ตะลุยเรียนรู้วิชาความรู้ทุกอย่างที่ขวางหน้า เขาได้เข้าร่วมกลุ่ม X-Men และได้รับสมญานามว่า Beast

Beast เคยพยายามหาทางรักษาตัวเอง แต่การพิษของสารเคมีที่ใช้ทดลองทำให้เกิดขนสีเทาซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นสีฟ้าขึ้นเต็มตัว แถมหูแหลม มีเขี้ยวยาวมีกรงเล็บเหมือนแมว อีกทั้งยังพัฒนาประสาทสัมผัส และสามารถรักษาบาดแผลด้วยตัวเอง
Dr. Hank McCoy เคยปรากฏตัวในสภาพมนุษย์ปกติในหนัง X2: X-Men United แต่ใน X-Men: The Last Stand เขาปลีกตัวจากกลุ่มไปรับตำแหน่งในกระทรวงมนุษย์กลายพันธุ์ (The Department of Mutant Affairs) ทำหน้าที่ค้นคว้าพัฒนายารักษามนุษย์กลายพันธุ์ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาจับมือต่อสู้ร่วมกับพรรคพวกอีกครั้ง

Jean Grey
Jean Grey เป็นธิดาของ Dr. John กับ Elaine Grey มีพี่สาวชื่อ Sara ทั้งสามคนเป็นมนุษย์ธรรมดา พลังจิตแบบมนุษย์ผ่าเหล่าของเธอแสดงให้เห็นตั้งแต่ตอนอายุ 10 ขวบ เพื่อนสนิทของเธอ Annie Richardson ถูกรถชน ขณะใกล้เสียชีวิต Jean อ่านจิตใจของเพื่อนและพบว่าเต็มไปด้วยความทนทุกข์ทรมานเมื่อกำลังเผชิญหน้ากับความตาย Jean ล้มเจ็บขั้นโคมา นอนนิ่งบนเตียงไม่ไหวติงนาน 3 ปี จนกระทั่งได้ศาสตราจารย์ Charles Xavier มาช่วย อย่างไรก็ตาม ความโศกเศร้าในการที่เพื่อนเสียชีวิตยังติดตาหลอกหลอนเธอตลอดเวลา

แม้จะยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่จนกระทั่งโตเป็นวัยรุ่น แต่ศาสตราจารย์ Xavier ก็แวะเวียนมาฝึกการใช้และควบคุมพลังจิตให้กับเธอเป็นระยะ เธอเริ่มพัฒนาพลังจิตของเธออย่างเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่อายุ 13 ปี แล้วก็เข้าเรียนที่โรงเรียน School for Gifted Youngsters ของศาสตราจารย์ Xavier และเป็นสมาชิกหญิงคนแรกในทีม X-Men

ว่ากันว่าพลังจิตของ Jean ที่ทั้งอ่านใจ-ควบคุมจิตใจผู้อื่น และบังคับการเคลื่อนไหวของวัตถุ กล้าแข็งในระดับศาสตราจารย์ Xavier

Jean เป็นสาวเนื้อหอมมีผู้ชายมาสนใจไม่น้อย เริ่มแรกก็มี Scott (Cyclops) กับ Warren (Angel) หลังจากนั้นก็มี Wolverine เข้ามาพัวพัน แต่หากถามใจแล้ว Jean ชอบ Scott มากกว่าใคร

ในหนัง X-Men สองภาคแรก Jean สังกัดทีมแพทย์พยาบาล พลังจิตของเธอไม่เข้มแข็งเท่าในหนังสือการ์ตูน ในตอนท้ายของ X2:X-Men United และใน X-Men: The Last Stand พลังจิตของเธอพัฒนามหาศาล ในหนังภาคใหม่ล่าสุดเธอเข้าร่วมขบวน Brotherhood of Mutants ของ Magneto

Cyclops
Cyclops หรือ Scott Summers เติบโตที่เมือง Anchorage มลรัฐ Alaska บิดาของเขา นาวาอากาศตรี Christopher Summers แห่งกองทัพอากาศสหรัฐพาครอบครัวขึ้นเครื่องบินและถูกยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวโจมตี ขณะไฟกำลังไหม้เครื่อง พ่อแม่ของ Scott จับเขากับน้องชาย Alex ใส่ร่มชูชีพและโดดจากเครื่องเพื่อเอาชีวิตรอด โชคร้ายยังตามติด ร่มของ Scott ติดไฟ ทำให้ศีรษะเขาโหม่งพื้น สมองเสียหาย ความจำวัยเด็กสูญหาย และที่สำคัญไม่สามารถควบคุมพลังแสงจากนัยน์ตา ศาสตราจารย์ Charles Xavier พบ Scott ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าขณะอายุ 16 ปี Scott กลายเป็นสมาชิกคนแรกของ X-Men การที่ Scott ไม่สามารถควบคุมพลังแสงจากดวงตา ทำให้เขาต้องปิดตาหรือไม่ก็ต้องสวมแว่นที่เลนส์เป็นผลึกทับทิมควอตซ์กันไว้ พลังของ Scott มาจากเซลล์ในร่างกายซึ่งผิดปกติทำให้สามารถดูดซับพลังจากแสงอาทิตย์และเปล่งออกมาทางดวงตา ความสามารถพิเศษอีกอย่างของ Scott คือการเป็นนักบินสืบสายเลือดจากบิดา และเชี่ยวชาญในการต่อสู้ทุกรูปแบบ

แม้จะมีบทบาทไม่น้อยในหนังไตรภาค X-Men แต่ความเด่นยังดูเหมือนตกเป็นรอง Wolverne
Magneto
Magneto คือเหยื่อที่รอดชีวิตจากค่ายนรกนาซี Auschwitz สมัยเด็กพลังแม่เหล็กในตัวของเขายังไม่ได้รับการฝึกฝนพัฒนา ความที่เป็นชาวยิวทำให้เขากับครอบครัวเป็นเป้าหมายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเห็นครอบครัวถูกนาซีฆ่า และถูกนำตัวไปยังค่ายใช้แรงงานนาซีที่ Sonderkommandos บาดแผลที่ฝังลึกในหัวใจของ Magneto คือหากเขารู้ว่าตัวเองมีพลังเหนือธรรมชาติ เขาจะไม่ยอมให้เหตุร้ายเกิดกับครอบครัวอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม แม้จะมารู้ภายหลังว่าเขามีพลังแม่เหล็กในตัว แต่เพราะความอดอยากยากแค้นและการเจ็บป่วยในค่ายนรกทำให้ Magneto ไม่สามารถดึงพลังในตัวออกมาใช้

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาแต่งงานกับผู้หญิงยิปซีชื่อ Magda ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้รอดชีวิตจากค่ายนรก และมีลูกสาวด้วยกันชื่อ Anya เขาใช้พลังแม่เหล็กครั้งแรกเพื่อช่วยเมียกับตัวเองให้รอดพ้นจากไฟไหม้ แต่สมาธิแตกเสียก่อนเพราะเนื่องจากกลุ่มมนุษย์ที่บ้าคลั่งโกรธแค้นเข้ามาขัดจังหวะ ทำให้เขาไม่สามารถช่วยลูกสาวได้ ความโกรธแค้นทำให้เขาใช้พลังคร่าทำลายฝูงชนเหล่านั้น Magda ทิ้ง Magneto หลังขวัญผวาเมื่อเห็นอารมณ์ร้อนพลุ่งพล่านและพลังอำนาจมหาศาลของสามี

Magneto ใช้ชื่อปลอม Erik Lehnsherr เพื่อหลีกหนีการถูกตามล่า เขาหนีไปอยู่อิสราเอล และเป็นเพื่อนกับ Charles Xavier ทั้งคู่เก็บการเป็นมนุษย์ผ่าเหล่าของตนเองเงียบ และมีความคิดเห็นต่างกันในกรณีที่หากมีมนุษย์ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ความลับของทั้งคู่ถูกเปิดเผยในขณะที่พยายามสกัดกั้นอดีตนาซี Baron Wolfgang Von Strucker และสมุนไม่ให้ขนทองของนาซีที่แอบซ่อนไว้ไปเป็นของตัวเอง เพราะตระหนักว่าความคิดเห็นไม่มีทางบรรจบกับ Xavier ตัว Magnito ตัดสินใจหอบทองนาซีหนีหายไป

ในฉบับหนังโรงใหญ่ ความเกลียดชังมนุษย์ของ Magneto ทำให้เขาคิดสร้างเครื่องมือที่เปลี่ยนมนุษย์ปกติเป็นมนุษย์ผ่าเหล่า (X-Men) แต่ไม่สำเร็จ ต่อมาใน X2 Magneto วางแผนซ้อนกลมนุษย์หลอกใช้พลังจิตของ Xavier สังหารมนุษย์ทุกคนบนโลก แต่ใน The Last Stand เป็นการเผชิญหน้าครั้งสำคัญระหว่าง Magneto และศาสตราจารย์ Xavier

Colossus
Colossus หรือ Piotr Rasputin เกิดในนารวมโซเวียต (Soviet Collective Farm) ใน Siberia เขาค้นพบความสามารถพิเศษในการแปลงสภาพร่างกายให้เป็นเหล็กที่แกร่งที่สุดในโลกตอนโตเป็นผู้ใหญ่ Colossus มีความสุขที่ได้ใช้พลังของเขาในการช่วยเหลือผู้คนในนารวม เขาตัดสินใจทิ้งบ้านเกิดมาอยู่สหรัฐอเมริกาตามคำชวนของศาสตราจารย์ Xavier และเป็นคนให้สมญา Colossus แก่เขา ความตายของครอบครัวและน้องสาว ทำให้ Colossus ตัดสินใจย้ายค่ายหันไปเป็นฝ่าย Magneto

Colossus เคยปรากฏตัวใน X2 เป็นเด็กนักเรียนนั่งวาดภาพในสวนที่โรงเรียนของศาสตราจารย์ Xavier


Angel
Angel หรือ Archangel มีชื่อจริงว่า Warren Worthington III สมัยเด็กตอนเรียนโรงเรียนเอกชนปีสีขาว2 ข้างเริ่มงอก Warren รู้สึกว่ากลายเป็นมนุษย์ประหลาดในตอนต้น แต่เมื่อเขารู้ว่าปีกที่ว่าทำให้เขาบินได้และสามารถช่วยเหลือผู้คน เขากลับมีความสุข และเรียนรู้ในภายหลังว่าเขาเป็นมนุษย์ผ่าเหล่า ศาสตราจารย์ Xavier เป็นคนตั้งชื่อ Angel ให้ Warren และให้เขาเข้าร่วมทีม X-Men

ใน X-Men:The Last Stand มหาเศรษฐี Warren Worthington II พ่อของ Angel ไม่ชอบปีกที่เมื่อกางเต็มที่จะยาวถึง 16 ฟุตของลูกชาย เขาก็เลยทุ่มเททุกอย่างเพื่อค้นคิดหายารักษาลูกชายให้หายจากการเป็นมนุษย์กลายพันธุ์


Callisto
ไม่มีใครรู้จักที่มาที่ไปของ Callisto นอกจากรอยแผลบนใบหน้าที่เธอเองบอกว่าเกิดจาก “ความผิดพลาดแสน**” ซึ่งก็คือความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ปกติ Callisto ปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะผู้นำกลุ่ม Morlocks มนุษย์กลายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในท่อระบายน้ำ เธอลักพาตัว Angel ยั่วยวนให้ Angel แล้วก็คิดจะตัดขนปีกของ Angel เพื่อไม่ให้บิน Storm เป็นคนมาช่วย Angel แล้วก็ท้าให้เธอต่อสู้ด้วย โดยมีตำแหน่งผู้นำมนุษย์กลายพันธุ์ท่อระบายน้ำเป็นเดิมพัน

แทนที่จะหน้าตาน่าเกลียดปิดตาข้างแบบโจรสลัดเหมือนในหนังสือการ์ตูน Callisto ใน X-Men: The Last Stand กลับเป็นสาวสวยที่มีเพียงรอยแผลเป็นบนแก้ม เธอเป็นสมุนของ Magneto ความสามารถพิเศษของเธอคือการเคลื่อนไหวรวดเร็ว พร้อมประสาทสัมผัสจับตำแหน่งมนุษย์กลายพันธุ์ได้อย่างแม่นยำ


Pyro
Pyro หรือ St. John Allerdyce เกิดที่ Sydney ประเทศ Australia ความสามารถพิเศษคือสร้างไฟบรรลัยกัลป์จากร่างกาย แต่เพราะไม่รู้วิธีใช้ Pyro จึงปล่อยไฟของเขาเฉพาะในกรณีฉุกเฉินจำเป็นเท่านั้น เขาทำงานเป็นนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ ท่องเที่ยวทำข่าวหาข้อมูลไปตามประเทศต่างๆแถบเอเชียอาคเนย์ ได้พบกับ Mystique และได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมกลุ่ม The Brotherhood of Evil Mutants ของ Magneto

แต่ในหนัง X-Men เรื่องราวของ Pyro แตกต่างจากในหนังสือการ์ตูน เขาเป็นนักเรียนของศาสตราจารย์ Xavier ค่อนข้างทรนง และมักหาโอกาสโชว์พลังของตัวเองให้คนอื่นเห็น ซึ่งขัดกับนโยบายของ Xavier ใน X2 Pyro ตัดสินใจไปเขาฝ่าย Magneto ซึ่งมองเห็นความทะเยอทะยานของเด็กคนนี้ และใน X-Men:The Last Stand Pyro ต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิท Iceman
ร้อนกับเย็นเจอกัน น่าสนุก!


Mystique
ไม่มีใครรู้อายุที่แท้จริงของ Mystique แค่คาดว่าน่าจะร่วมร้อยปี ก็เลยไม่แปลกที่เธอจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย Mystique มีผิวสีน้ำเงิน ตาสีเหลือง ความสามารถพิเศษคือเปลี่ยนแปลงร่างเป็นใครก็ได้ตามต้องการ เธอเป็นคนอุ้มท้อง/แม่บุญธรรมของ Nightcrawler กับ Rogue สุดท้ายก็ทิ้ง Nightcrawler แล้วก็มาเลี้ยง Rougue เพียงคนเดียว แต่ก็เลี้ยงไม่กี่ปีก็เลิกอีก

ภาพลักษณ์ของ Mystique คือผู้ร้าย เป็นมือขวาของ Magneto เป็นมือสังหารใจ**ม อย่างไรก็ตาม เธอเคยร่วมงานกับศาสตราจารย์ Xavier และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในทีม X-Men

Mystique ถือว่าเป็นตัวเด่นในหนังไตรภาค X-Men และที่สำคัญ ดูเหมือนเธอจะมีความรู้สึกดีๆไม่น้อยกับ Wolverine
Iceman
Iceman หรือ Bobby Drake เจ้าของพลังเย็น จับต้องสิ่งใดก็กลายเป็นน้ำแข็ง และสามารถปล่อยพลังเย็นออกจากมือ ทำให้สิ่งที่ขวางหน้ากลายเป็นน้ำแข็งในพริบตา Iceman เกิดที่ Port Washington มลรัฐ New York ศาสตราจารย์ Xavier พาเขามาเข้าโรงเรียนตั้งแต่เด็ก Iceman เป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดใน X-Men ทีมแรก

Professor X
Professor X หรือศาสตราจารย์ Charles Xavier เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังจิตเข้มแข็งมากที่สุดในโลก

พ่อและแม่ของเขาชื่อ Brian และ Sharon Xavier ครอบครัวมีฐานะค่อนข้างดี ตัว Brian ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สังคมนับหน้าถือตา เมื่อพ่อเสียชีวิต แม่แต่งงานกับ Kurt เพื่อนนักวิทยาศาสตร์ของพ่อ และเมื่อพลังจิตของ Charles เริ่มปรากฏ เขารู้ว่า Kurt รักเงินของครอบครัวมากกว่ารักแม่ Charles เป็นนักเรียนที่เก่งทั้งการเรียนและการกีฬา แต่ต่อมาเขาตัดสินใจเลิกเล่นกีฬา เพราะรู้สึกว่าพลังจิตของเขาทำให้ได้เปรียบคู่แข่งขัน เขาพบรักกับเพื่อนนักศึกษาชาวสกอตต์ Moira Kinross ทั้งคู่ตกลงใจแต่งงานกัน แต่โชคร้าย Charles ต้องไปสงคราม ขณะอยู่ในสนามรบ เขาได้รับจดหมายของเลิกความสัมพันธ์จาก Moira เพื่อจะมาแต่งงานกับแฟนเก่า หลังสงคราม Charles เดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก และที่กรุง Cairo เขาเอาชนะมาเฟียอาหรับชื่อ Shadow King การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้เขาตัดสินใจอุทิศตัวปกป้องมนุษย์จากมนุษย์ผ่าเหล่าชั่วร้าย และปกป้องมนุษย์กลายพันธุ์จากการกดขี่ของมนุษย์ปกติ ต่อมาเขาไปเยี่ยมเพื่อนชื่อ Daniel Shomrom ซึ่งเปิดคลินิกรักษาอาการทางใจของเหยื่อที่รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีที่เมืองท่า Haifa ในประเทศ Israel และที่นี่เขาได้รู้จักกับ Magneto

การต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาว Lucifer ที่จะมารุกรานโลกส่งผลให้ Charles กระดูกแตกละเอียดกลายเป็นคนพิการนั่งรถเข็นตลอดชีวิต เขาหันมาก่อตั้งโรงเรียน School of Gifted Youngsters สอนเด็กกลายพันธุ์ให้มองโลกในแง่ดีโดยมีทีม X-Men เป็นตัวอย่าง

Rogue
Rogue เป็นมนุษย์ผ่าเหล่าที่เรียกพลังเหนือธรรมชาติของตนเองว่าเป็นคำสาป เมื่อใดก็ตามที่เธอแตะต้องใครก็ตาม พลังของเธอจะดูดลมหายใจ ความแข็งแกร่ง และความทรงจำของคนๆนั้นจนหมดสิ้น พลังนี้ทำให้เธอไม่สามารถจับต้องใคร...แม้กระทั่งคนรัก

Rogue เป็นสาวชาวใต้แห่งมลรัฐ Mississippi ครั้งหนึ่งเธอเคยจูบกับเพื่อนชาย Cody Robbins ทันทีที่เนื้อต้องเนื้อ Cody ถูกดูดพลังจนแทบหมดสิ้น เขาสิ้นสติ อยู่ในสภาพโคมา ไม่เคยลืมตานับแต่นั้นเป็นต้นมา นั่นคือครั้งแรกที่ Rogue รับรู้ถึงพลังพิเศษในตัว เมื่อความเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ถูกเปิดเผย เธอตัดสินใจหนีออกจากเมืองที่อยู่ หลังจากนั้นเธอได้พบกับ Mystique ผู้ที่จะกลายเป็นครูฝึกการใช้พลังพิเศษของเธอ และชักนำเธอเข้าสู่ฝ่ายของ Magneto ต่อสู้กับฝ่าย X-Men และในที่สุด เธอก็ย้ายฝั่งมาอยู่กับศาสตราจารย์ Xavier

Rogue เป็นอีกตัวละครหนึ่งในหนังไตรภาค X-Men ที่ประวัติชีวิตถูกบิดให้เบี่ยงเบนจากในหนังสือการ์ตูน

Shadowcat
Shadowcat หรือ Katherine “Kitty” Pryde เกิดที่เมือง Deerfield มลรัฐ Illinois สหรัฐอเมริกา ปู่ของเธอเป็นชาวยิวในยุโรป ถูกจับเข้าค่ายกักกันนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เขารอดชีวิตเมื่อทหารสหรัฐบุกมาช่วย แล้วก็อพยพมาอยู่สหรัฐหลังสงครามสงบ ตอนอายุ 13 ปี Kitty ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดศีรษะ โดยไม่รู้ว่านี่คือผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย พลังพิเศษเริ่มก่อตัวขึ้นภายใน และเมื่อร่างกายปรับตัวได้ เธอจึงรับทราบว่า เธอสามารถเดินผ่านวัตถุซึ่งเป็นของแข็ง วิธีทำก็แสนง่าย ส่งอะตอมของร่างกายแทรกผ่านช่องว่างระหว่างอะตอมของวัตถุที่ขวางหน้า ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังสามารถพาคนหรือสิ่งของแทรกผ่านวัตถุไปพร้อมกับเธอได้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น Shadowcat ยังเป็นเด็กอัจฉริยะ เป็นสุดยอดเซียนคอมพิวเตอร์ รู้จักอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ทั้งหมดในโลก เธอกลายเป็นหนึ่งในกลุ่ม X-Men หลังจากที่ศาสตราจารย์ Xavier พบเธอ

Shadowcat ปรากฏตัวแบบแวบๆทั้งใน X-Men และ X2 เพิ่งจะมีภาค 3 ที่ได้พบแบบเป็นเนื้อเป็นหนัง

Storm
Storm หรือ Ororo Munroe มนุษย์กลายพันธุ์สาวที่มีอำนาจควบคุมลมฟ้าอากาศ แม่ของเธอ N’Dare เป็นเจ้าหญิงของชนเผ่าหนึ่งใน Kenya สืบสายเลือดมาจากชาวแอฟริกันที่มีผมขาว ตาสีฟ้า และมีอำนาจของแม่มดเป็นพรสวรรค์ N’Dare พบรักและแต่งงานกับช่างภาพหนังสือพิมพ์แอฟริกัน-อเมริกันนาม David Munroe ตัว Ororo เกิดที่ Manhattan ใน New York City ตอน 6 ขวบก็ย้ายตามพ่อแม่ไปอยู่กรุง Cairo ประเทศ Egypt หลังจากนั้น 5 ปี ระเบิดจากเครื่องบินรบถล่มบ้านเธอพังพินาศ สังหารทั้งพ่อและแม่ ประวัติชีวิตช่วงนี้ของเธอค่อนข้างสับสน บางคนบอกว่าระเบิดที่ถล่มบ้านเธอถูกทิ้งจากเครื่องบินรบอิสราเอลในระหว่างเกิดวิกฤตคลอง Suez ในปี 1956 บางคนบอกว่าเป็นระเบิดในช่วงสงคราม 6 วันในปี 1967 หลังสุดก็บอกว่าระเบิดนั้นเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางทหารที่ระบุชื่อเหตุการณ์

Ororo ติดอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังกับร่างที่ไร้ลมหายใจของมารดา สภาพในขณะนั้นส่งผลให้เธอกลายเป็นคนกลัวที่แคบในเวลาต่อมา

เด็กกำพร้าอย่าง Ororo ต้องสู้ชีวิตแบบปากกัด**ถีบกลางถนน เธอกลายเป็นขโมย เก่งกาจเรื่องล้วงกระเป๋าสะเดาะกุญแจ หนึ่งในเหยื่อของเธอคือ Charles Francis Xavier

Ororo ยังคงใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ครั้งหนึ่งเธอเกือบตายเพราะขาดน้ำขณะเดินทางข้ามทะเลทราย Sahara และระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เธอค้นพบว่าตนเองเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ มีอำนาจควบคุมลมฟ้าอากาศ ตอนที่ศาสตราจารย์ Xavier มาชวนเธอเข้าร่วมกลุ่ม X-Men เธอเป็นเทพเจ้าที่ชนเผ่าพื้นเมืองเผ่าหนึ่งเคารพยำเกรง

ในหนัง X-Men ภาค 3 เธอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นค**และผู้อำนวยการสถาบันของ Xavier

Wolverine
Wolverine หรือ James Howlett หรือ Logan เป็นบุตรชายของ John และ Elizabeth Howlett เศรษฐีชาวแคนาดาแห่งเมือง Alberta ที่มีชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 19 ก่อนหน้านี้ Elizabeth ให้กำเนิดลูกชายคนแรก แต่เสียชีวิตหลังคลอดโดยไม่ระบุสาเหตุ ความสูญเสียทำให้บางครั้งเธอเหมือนคนบ้า ต้องส่งเข้ารักษาในโรงพยาบาล ตอนเด็กสุขภาพของ James ไม่ค่อยแข็งแรง จึงต้องมีพี่เลี้ยงชื่อ Rose คอยดูแล ในเวลาต่อมา ความจริงถูกเปิดเผย Elizabeth มีสัมพันธ์สวาทกับคนสวนชื่อ Thomas Logan ซึ่งว่ากันว่าใบหน้าละม้ายคล้ายคลึง Wolverine ตอนโตเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก

Thomas Logan มีลูกชายชื่อ Dog Logan ซึ่งชอบมีเรื่องกับ Rose และ James พ่อของ James ตัดไฟแต่ต้นลม ไล่คนสวนกับลูกชายจอมยุ่งออกจากงาน ในคืนวันหนึ่ง ทั้งคู่แอบกลับมาที่คฤหาสน์ของตระกูล Howlett เหตุร้ายเกิดขึ้น James เห็น Thomas ฆ่าพ่อ ความโกรธแค้นเป็นเหตุให้กรงเล็บมรณะโผล่จากมือทั้งสองข้างของ James เขาฆ่า Thomas ไล่ตะเพิด Dog ออกจากบ้าน ส่วน Elizabeth แม่ของเขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย เนื่องจากเสียสามีและมารู้ว่าลูกชายเป็นสัตว์ประหลาด

หลังเหตุการณ์ James กับ Rose ถูกปู่ไล่ออกจากบ้าน ทั้งคู่ไปยึดอาชีพทำเหมืองที่ British Columbia ตัว James เปลี่ยนชื่อเป็น Logan ตามคำแนะนำของ Rose เพื่อไม่ให้ใครจำได้ นอกจากนั้นก็ยังเรียกชื่อเล่นว่า Wolverine ด้วย

หลายปีต่อมา Dog กลับมาแก้แค้น ระหว่างการต่อสู้ Rose ซึ่งพยายามเข้ามาห้ามถูกคมเล็บของ Logan จนเสียชีวิต ความเสียใจทำให้ Logan หนีไปใช้ชีวิตอยู่กับหมาป่าในป่าลึก

Wolverine มีความโดดเด่นในตัวเอง 3 ประการ คือ ร่างกายสามารถรักษาบาดแผลไม่ว่าร้ายแรงแค่ไหนด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว ประสาทหู ตา และจมูกไวกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่า มีกรงเล็บแหลมคมยาว 12 นิ้วซ่อนอยู่ภายในหลังมือข้างละ 3 เล็บ ตัว Wolverine มีส่วนในโครงการณ์ Weapon X สร้างสุดยอดทหาร โครงกระดูกของเขามีส่วนผสมของโลหะผสม alloy adamantium แข็งแรงทนทานไม่มีวันแตกหัก

กัปตันอเมริกา

กัปตันอเมริกา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กัปตันอเมริกา ตัวละครจากมาร์เวลคอมิกส์
กัปตันอเมริกา (อังกฤษ: Captain America) เป็นตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ที่ปรากฏในหนังสือการ์ตูนซึ่งจัดพิมพ์โดยมาร์เวลคอมิกส์ โดยตัวละครนี้ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือ กัปตันอเมริกาคอมิกส์ #1 (มีนาคม ค.ศ. 1941) ถือเป็นตัวละครยุค 1940 ของมาร์เวลคอมิกส์ ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากไทม์ลี่คอมิกส์[1] และได้รับการสร้างโดยโจ ไซมอนกับแจ็ค เคอร์บี้ หลายปีที่ผ่านมานี้ ประมาณการได้ว่าได้มีการจัดพิมพ์หนังสือการ์ตูน "กัปตันอเมริกา" 210 ล้านเล่ม และได้มีการจัดจำหน่ายในประเทศต่างๆรวม 75 ประเทศ[2] แทบทุกประวัติการจัดพิมพ์กัปตันอเมริกาได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงตัวตนของ สตีฟ โรเจอร์ส (อังกฤษ: Steve Rogers) ซึ่งเป็นชายหนุ่มผู้บอบบางที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจนกลายมาเป็นมนุษย์ผู้มีความสมบูรณ์แบบขั้นสูงสุดโดยได้รับเซรุ่มทดลอง ภายใต้คำสั่งในการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นความพยายามในด้านการสงคราม กัปตันอเมริกาเป็นผู้สวมเครื่องแบบที่มีลวดลายแบบธงชาติสหรัฐอเมริกา และมีโล่ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายได้ ซึ่งสามารถใช้ร่อนเพื่อโจมตีเป็นอาวุธได้[3]
จากเจตนาต้องการที่จะสร้างความรักชาติ โดยให้เขาต้องทำการต่อสู้กับฝ่ายอักษะแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง กัปตันอเมริกาจึงกลายมาเป็นตัวละครที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของไทม์ลี่คอมิกส์ในช่วงยุคของสงคราม ภายหลังจากสงครามสิ้นสุดลง ตัวละครนี้ก็ได้รับความนิยมลดถอยลง และเขาก็ได้หายไปในช่วงยุค 1950 นอกเหนือจากความพยายามที่จะฟื้นฟูในปี ค.ศ. 1953 กัปตันอเมริกาได้รับการรื้อฟื้นอีกครั้งในยุคเงินของหนังสือการ์ตูน เมื่อเขาฟื้นขึ้นมามีชีวิตใหม่ โดยการต่อชีวิตจากทีมซูเปอร์ฮีโร่ที่มีชื่อว่าอเวนเจอร์ส ในหนังสือ อเวนเจอร์ส #4 (มีนาคม ค.ศ. 1964) นับแต่นั้นเป็นต้นมา กัปตันอเมริกาก็ได้เป็นผู้นำของทีมอยู่บ่อยครั้ง ตลอดจนเป็นดารานำในซีรีส์ของตัวเอง ต่อมา สตีฟ โรเจอร์ส ได้ถูกสังหารลงในกัปตันอเมริกา vol. 5, #25 (มีนาคม ค.ศ. 2007) แม้ว่าในภายหลังจะมีการเปิดเผยว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าดีหรือร้าย ซีรี่ส์ของกัปตันอเมริกาก็ยังไ่ด้รับการจัดพิมพ์ต่อไป[4] โดยกำหนดให้ผู้เป็นสหายของโรเจอร์ส ที่มีชื่อว่า เจมส์ "บัคกี้" บาร์นส์ เป็นผู้สานต่อ โดยใช้เวลาในการยืนยันความสามารถอย่างน้อยที่สุดก็ในตอนนี้ ในขณะที่โรเจอร์สเป็นอินเทลิเจนท์ เอเจนท์ หรือตัวแทนอัจฉริยะแยกออกมาใหม่ในซีรี่ส์ของเขาเอง ซึ่งมีชื่อว่า สตีฟ โรเจอร์ส: ซูเปอร์โซลเยอร์ (อังกฤษ: Steve Rogers: Super Soldier)
ภาพยนตร์ที่ได้แรงดลบันดาลใจจากตัวละครดังกล่าวโดยใช้ชื่อว่า กัปตันอเมริกา: อเวนเจอร์ที่ 1 ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะมีการจัดฉายในปี ค.ศ. 2011 โดยมีผู้รับบทเป็นกัปตันอเมริกาคือ คริส อีแวนส์

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ประวัติตามท้องเรื่อง

ภาพปกหนังสือการ์ตูน กัปตันอเมริกาคอมิกส์ #1 (มีนาคม ค.ศ. 1941) ซึ่งวาดปกโดยโจ ไซมอน กับแจ็ค เคอร์บี้
ยุค 1940
สตีฟ โรเจอร์ส ถือกำเนิดในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 ที่โลเวอร์อีสท์ไซด์ของแมนฮัตตัน ในนิวยอร์ก โดยมีพ่อแม่เป็นชาวไอร์แลนด์ที่อพยพเข้าเมือง ซึ่งมีชื่อว่าซาร่าห์ กับโจเซฟ โรเจอร์ส[5] โจเซฟ โรเจอร์สเสียชีวิตลง โดยที่เหลือเพียงสตีฟซึ่งเป็นบุตรเพียงคนเดียวของซาร่าห์ผู้เป็นมารดา จากนั้นในภายหลัง ซาร่าห์ก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคปอดบวมในช่วงที่สตีฟอยู่ในวัยหนุ่ม ในช่วงต้นยุค 1940 ก่อนที่อเมริกาจะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง โรเจอร์สเป็นผู้มีร่างกายสูงแต่ผอมบาง เขาเป็นนักเรียนด้านวิจิตรศิลป์ผู้เชี่ยวชาญภาพประกอบ จากเหตุการณ์ที่คุกคามโดยจักรวรรดิไรช์ที่สามนี้ โรเจอร์สได้พยายามที่จะเข้าร่วมเกณฑ์ เพียงเพื่อต้องการที่จะปฏิเสธความยากจน เนื่องด้วยพลเอกเชสเตอร์ ฟีลิปส์แห่งกองทัพสหรัฐกำลังมองหาการทดสอบอยู่พอดี โรเจอร์สจึงมีโอกาสที่จะรับใช้ประเทศชาติด้วยการมีส่วนร่วมในโครงการป้องกันความลับสุดยอด โอเปอร์เรชั่น: รีเบิร์ธ หรือโครงการการเกิดใหม่จึงได้เกิดขึ้น ซึ่งได้มีความพยายามในการพัฒนาด้านการสร้างซูเปอร์โซลเยอร์ที่มีความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายอย่างแท้จริง โรเจอร์สอาสาเข้ารับการทดสอบ และภายหลังจากการคัดเลือกอย่างเข้มงวด เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับเซรุ่มเพื่อเป็นซูเปอร์โซลเยอร์จากนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อว่า ดร.โจเซฟ ไรน์สไตน์[6][7] ซึ่งในภายหลังเขาได้เปลี่ยนชื่อรหัสของนักวิทยาศาสตร์มาเป็น อับราฮัม เออร์สไคน์[8]
ในคืนที่โอเปอร์เรชั่น: รีเบิร์ธ ได้มีการดำเนินการ โรเจอร์สได้รับยาฉีดและได้รับเซรุ่มผ่านทางช่องปาก หลังจากนั้นเขาได้รับรังสี วีต้้า ซึ่งได้ออกฤทธิ์ และปรับเปลี่ยนสารเคมีที่มีอยู่ในร่างกายของเขา แม้ว่ากระบวนการนี้จะก่อให้เกิดความทรมานทางด้านร่างกายอยู่ก็ตาม แต่มันก็ประสบความสำเร็จทางสรีรวิทยาแทบจะในทันที ซึ่งปรับเปลี่ยนจากความอ่อนแอให้กลายมาเป็นมนุษย์ผู้มีประสิทธิภาพขั้นสูงสุด ซึ่งเพิ่มทั้งความแข็งแกร่งทางร่างกายและทั้งการโต้ตอบได้อย่างดีเยี่ยม เออร์สไคน์ได้ประกาศว่าโรเจอร์สเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่รายแรก จนแทบเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้มีความสมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง[7]

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ The 1995 Marvel Milestone Edition: Captain America archival reprint has no cover date or number, and its postal indicia says "Originally published ... as Captain America #000". Timely's first comic Marvel Comics #1, likewise had no number on its cover, and was released with two different cover dates.
  2. ^ Death to ‘America’: Comic-book hero killed off, msnbc.com, March 7, 2007
  3. ^ "Bullpen Bulletins: "Stan's Soapbox", December 1999
  4. ^ Matt Brady (March 7, 2007). ""yes, Captain America, Steve Rogers, is dead." Marvel's Statement on Captain America #25". Newsarama. http://forum.newsarama.com/showthread.php?t=104091. Retrieved March 7, 2007. 
  5. ^ Adventures of Captain America–Sentinel of Liberty #1-#4 (October 1991 - January 1992)
  6. ^ Captain America Comics #1 (March 1941)
  7. ^ 7.0 7.1 Captain America #109 (January 1969)
  8. ^ Captain America #255 (March 1981); the name Erskine was first used in a Captain America novel by Ted White, The Great Gold Steal, Bantam Books, 1968

[แก้] บรรณานุกรม

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ben10